ทัชมาฮาล … สุสานแห่งความรักและความตาย

เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “อินเดีย…เมื่อไปแล้ว ไม่รักก็เกลียดเลย” กันไหม? สำหรับฉันคงเป็นประเภทแรก เพราะเพียงครั้งแรกที่ไปสัมผัสดินแดนภารตะ ก็ตกหลุมรักจนต้องกลับไปซ้ำถึง 5 ครั้งในช่วงเวลาไม่กี่ปี และ 2 ใน 5 ครั้งนั้น “ทัชมาฮาล” คือสถานที่ที่ฉันประทับใจจนต้องกลับไปเยือนอีกหลายครั้ง

ก่อนหน้านั้นอินเดียไม่เคยอยู่ใน List ประเทศที่อยากไป จนกระทั่งวันหนึ่ง สายการบินต้นทุนต่ำเปิดเส้นทางกรุงเทพฯ-เดลี ในราคาโปรโมชัน ไป-กลับแค่สามพันกว่าบาท ไม่รอช้ารีบกดจองทันทีโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนอย่างไร รู้เพียงว่าอินเดียมีทัชมาฮาลแค่นั้น พอเริ่มหาข้อมูลจึงได้รู้ว่า อินเดียไม่ได้มีดีแค่ทัชมาฮาล และทัชมาฮาลไม่ได้ตั้งอยู่ที่เดลี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอินเดีย และเป็นที่ที่เราต้องบินไปลงด้วย

ทัชมาฮาล (Taj Mahal) ตั้งอยู่ที่เมืองอักรา รัฐอุตตรประเทศ อยู่ห่างจากเดลี 243 กิโลเมตร สามารถเดินทางไปได้ทั้งรถยนต์และรถไฟ ครั้งแรกฉันเช่ารถพร้อมคนขับให้พาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวตามเมืองที่ฉันวางแผนไว้คือ เดลี (Delhi) อักรา (Agra) และชัยปุระ (Jaipur) ซึ่งเป็นการเดินทางแบบสามเหลี่ยมที่เรียกทริปนี้ว่า “สามเหลี่ยมทองคำแห่งอายธรรมอินเดีย” (India’s golden Triangle)  ส่วนครั้งที่สอง ฉันบินไปลงที่เมืองชัยปุระ แคว้นราชสถาน แล้วเช่ารถพร้อมคนขับมาชมทัชมาฮาลที่เมืองอักรา ก่อนจะกลับไปชัยปุระแล้วเลยไปยังเมืองพุชคาร์และจ๊อดปูร์ ซึ่งอยู่ในแคว้นราชสถานเช่นเดียวกัน

ทัชมาฮาลเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่คนทั่วโลกรู้จักดี และยังเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วย ทัชมาฮาลตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา สร้างขึ้นในปี 1623 โดยพระเจ้าชาห์ จาฮาน (Sah Jahan) กษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุล เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝังพระศพของมเหสีอันเป็นที่รัก พระนางมุมตัส มาฮาล

ย้อนกลับไปในช่วงที่พระเจ้าชาห์ จาฮานพระชนมายุ 14 ชันษา พระองค์ได้พบกับอรชุมันท์ พานุ เพคุม ซึ่งเป็นบุตรีของรัฐมนตรีคนหนึ่งและตกหลุมรักนางทันที เวลาผ่านไปจนพระองค์ 19 ชันษา จึงได้อภิเษกสมรสกับอรชุมันท์ และพระราชทานนามใหม่ให้นางว่า มุมตัส มาฮาล แปลว่า อัญมณีแห่งราชวัง หลังจากอภิเษกสมรสทั้งสองพระองค์ไม่เคยอยู่ห่างจากกันเลย พระนางมุมตัสเป็นทั้งที่ปรึกษา คอยให้กำลังใจ อีกทั้งพระนางยังมีเมตตาต่อประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทำให้พระเจ้าชาห์ จาฮานรักพระนางมุมตัสอย่างยิ่ง

พระเจ้าชาห์และพระนางมุมตัสครองคู่กันมาจวบจนปีที่ 18 หลังจากที่พระนางมุมตัสให้กำเนิดพระธิดาซึ่งเป็นทายาทองค์ที่ 14 พระนางมุมตัสตกเลือดเสียพระโลหิตจำนวนมาก ไม่นานพระนางก็สิ้นพระชนม์ในอ้อมกอดของพระเจ้าชาห์ การจากไปของพระนางมุมตัสทำให้หัวใจของพระเจ้าชาห์ จาฮานแหลกสลาย พระองค์โศกเศร้าทุกข์ระทมราวกับคนเสียสติ ทรงประทับอยู่ข้างหลุมฝังพระศพของพระนางมุมตัสตลอดเวลา จนพระองค์ดำริสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อเป็นสุสานฝังร่างอันไร้วิญญาณของนางอันเป็นที่รัก และนี่เองคือที่มาของทัชมาฮาล

ด้วยความรักอันท่วมท้น พระองค์จึงทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ และแรงเงินมหาศาล จ้างสถาปนิกและช่างชาวอาหรับที่มีฝีมือมาออกแบบเพื่อให้สุสานของพระนางมุมตัสสวยงามที่สุด โดยระดมแรงงานกว่าสองหมื่นคนมาเป็นแรงงานก่อสร้าง

ทัชมาฮาล สถาปัตยกรรมที่มีความสมมาตรที่สุดในโลก

ทัชมาฮาลเป็นการสร้างในรูปแบบอิสลาม หลังคาเป็นทรงดอกบัวตูม โครงสร้างแบบแปลนมีความสมมาตรแบบทรงเรขาคณิต จนสถาปนิกทั่วโลกยกเป็น “The Most Symmetrical Architecture”  หรือ “สถาปัตยกรรมที่มีความสมมาตรที่สุดในโลก” มีการสลักดอกไม้และลายเส้นเป็นโองการจากคัมภีร์อัลกุรอานไปบนหินอ่อนที่ใช้สร้างสุสานสีขาวนี้ และประดับด้วยหิน เพชร และพลอยจำนวนมาก เพื่อให้ทัชมาฮาลสวยงาม เลอค่า สมกับที่เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักของนางอันเป็นที่รักที่สุดของพระองค์

แกะสลักหินอ่อนเป็นลายดอกไม้

บทสวดจากคัมภีร์อัลกุรอาน

การก่อสร้างใช้เวลายาวนานถึง 22 ปีจนสำเร็จออกมางดงามสมดังพระทัย ขนาดที่มีเรื่องเล่าว่า พระเจ้าชาห์ จาฮานหลงใหลในความงดงามของทัชมาฮาลจนเกรงว่า สถาปนิกผู้ออกแบบและผู้ก่อสร้างจะไปออกแบบก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่สวยงามเช่นนี้อีก พระองค์จึงได้สั่งประหารทั้งสถาปนิกและช่างทั้งหมด

พระเจ้าชาห์ จาฮานยังไม่หยุดแค่นั้น พระองค์ดำริที่จะสร้างสุสานของพระองค์เองด้วยหินอ่อนสีดำ เจ้าชายออรังเซบ (Aurangzeb) พระโอรสของพระเจ้าชาห์เองเกรงว่าจะต้องใช้งบประมาณอีกมหาศาลในการก่อสร้าง จึงจับพระบิดาพระเจ้าชาห์ไปขังไว้ที่ป้อมอักรา (Agra Fort) ซึ่งตั้งอยู่อีกฟากฝั่งของแม่น้ำยมุนา ห่างจากทัชมาฮาลประมาณ 2 กิโลเมตร แต่ก็สามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้ในระยะไกล

ป้อมอักรา

แม่น้ำยมุนา

แม่น้ำยมุนา

ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่พระเจ้าชาห์ถูกกักขังอยู่อยู่ที่ป้อมอักรานั้น พระองค์เฝ้ามองไปที่ทัชมาฮาลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต พระองค์ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะพยุงพระวรกายเพื่อประทับมองช่องหน้าต่างที่มองเห็นทัชมาฮาล พระองค์ทำได้เพียงจ้องมองเศษกระจกที่ส่องสะท้อนภาพของทัชมาฮาลจนหมดลมหายใจ พระศพของพระเจ้าชาห์ จาฮานถูกนำมาฝังไว้เคียงข้างพระนางมุมตัส มาฮาลที่ทัชมาฮาล ทั้งสองจึงได้ประทับอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ณ อนุสรณ์สถานแห่งความรักที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นด้วยความรักและจบลงด้วยความเศร้า จนทำให้ฉันซึ่งเป็นเพียงผู้มาเยือนอดไม่ได้ที่จะสะท้อนใจกับประวัติความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้

ทัชมาฮาลที่มองจากป้อมอักขา

สำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวทัชมาฮาลนั้น จะมาเช้าเย็นกลับจากทั้งเดลีหรือชัยปุระก็ได้ แต่ก็จะเหนื่อยไปหน่อย แนะนำว่าให้มาค้างที่เมืองอักราสักคืนจะดีกว่า จะได้มีเวลาเที่ยวทั้งทัชมาฮาลและป้อมอักรา ซึ่งก็สวยงามอลังการไม่ทัชมาฮาลเลยทีเดียว

มีโรงแรมที่พักราคาไม่แพงมากมายที่ตั้งอยู่รอบ ๆ ทัชมาฮาล และชั้นบนสุดของโรงแรมหรือ Roof top ส่วนมากสามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้ในระยะไกล สำหรับการเที่ยวชมทัชมาฮาล ใช้เวลาสักครึ่งวันหรือสัก 3-4 ชั่วโมง แนะนำว่าให้ออกจากโรงแรมแต่เช้าตรู่ เพราะทัชมาฮาลและสถานที่ท่องเที่ยวของอินเดียโดยมากจะไม่ได้ระบุเวลาเปิด-ปิดที่แน่นอน แต่จะบอกว่าเปิดเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและปิดเวลาพระอาทิตย์ตก โดยรอบทัชมาฮาลในรัศมีประมาณ 1 กิโลเมตร จะห้ามรถยนต์เข้าไปเพื่อปกป้องหินอ่อนที่เป็นวัสดุหลักในการก่อสร้างทัชมาฮาลจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซค์ที่มาจากควันรถยนต์ ซึ่งจะทำให้สีของหินอ่อนหมองลง

ค่าบัตรเข้าชมทัชมาฮาลสำหรับคนไทยจะจ่ายแค่ 540 รูปี ซึ่งตามสนธิสัญญา BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for Multi sectoral Technical and Economic Coorperation) ที่เป็นความร่วมมือกันของ 7 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย บังคลาเทศ พม่า ศรีลังกา ภูฏาน เนปาล และไทย ทำให้คนไทยเราได้รับการลดค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ในประเทศอินเดีย และหลาย ๆ ที่เราก็จ่ายค่าเข้าเท่าชาวอินเดีย ในขณะที่ชาวต่างชาติอื่น ๆ ต้องจ่ายหลักร้อยหรือหลักพันรูปี เพราะฉะนั้นตอนซื้อตั๋วให้ยื่นพาสปอร์ตไทยแนบไปด้วย ก็จะได้ตั๋ว 1 ใบ น้ำเปล่า 1 ขวด และถุงพลาสติกครอบรองเท้าใช้สำหรับตอนเดินขึ้นไปชมบริเวณทัชมาฮาล

หลังจากได้บัตรเข้าชมแล้วให้รีบไปเข้าแถว ซึ่งจะแยกชาย หญิง และแยกคนอินเดียจากนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย เพื่อเดินเข้าไปผ่านที่สแกนร่างกาย สิ่งของ และอาวุธก่อนที่จะเข้าไปด้านใน แนะนำอีกอย่างว่า ให้นำของติดตัวไปเท่าที่จำเป็น ของกิน อาหาร ขนม ของกระจุกกระจิกต่าง ๆ และขาตั้งกล้อง ไม่ต้องพกไป เพราะไม่อนุญาตให้นำเข้าไป

เมื่อผ่านส่วนสแกนแล้ว เราจะเดินไปพบกับซุ้มประตูขนาดใหญ่สร้างด้วยหินทรายสีแดงชื่อว่า “ชอล์กกีจิโลกานา” (Chowki-Jilo Khana) ซึ่งความสวยงามของความโค้งของประตูทางนี้ จึงกลายเป็นจุดถ่ายภาพเข้าไปยังทัชมาฮาลได้สวยงาม แต่อย่ามัวแต่ชื่นชมความงดงามจนลืมระวังตัว เพราะตรงไหนที่เป็นมุมมหาชนจุดถ่ายภาพ มักจะมีช่างภาพท้องถิ่นเข้ามาเสนอตัวถ่ายรูปให้ ทั้งจากกล้องของเขาเองและจากกล้องหรือโทรศัพท์มือถือของเรา จากนั้นคุณก็จะต้องจ่ายเงินเป็นค่าถ่ายรูปให้กับเขาแบบงง ๆ แต่ถ้าคุณไม่เสียดายเงินและอยากได้รูปสวย ๆ ก็ใช้บริการได้เลย

ซุ้มประตูก่อนเข้าไปเจอทัลมาฮาล

ประตูเข้าไปด้านในของทัลมาฮาล

ด้านในของทัชมาฮาลสุสานหินอ่อนนี้ จะมีแท่นอยู่ 2 แท่นเคียงคู่กัน เป็นสิ่งแทนหลุมพระศพของพระเจ้าชาห์ จาฮาน และพระนางมุมตัส มาฮาล แต่หีบพระศพจริง ๆ จะอยู่ด้านล่าง โดยภายในนี้จะไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ แต่ก็มีคนแอบถ่ายอยู่เรื่อย ๆ ทั้งคนอินเดียเองและชาวต่างชาติ เราเองก็อย่าไปทำตามกันนะ ดูแต่ตาบันทึกไว้ในความทรงจำก็เพียงพอแล้ว

เดินชมความงดงามของทัชมาฮาลและถ่ายภาพไปรอบ ๆ ระหว่างนั้นก็จะมีชาวอินเดียเข้ามาขอถ่ายรูปกับฉันเป็นระยะ ๆ เพราะชาวอินเดียเป็นชนชาติที่ม่วนจอยกับการถ่ายภาพมาก ทั้งที่เราถ่ายภาพเขา หรือเขามาขอถ่ายภาพกับเรา และอีกหนึ่งความประทับใจที่ฉันเจอที่ทัชมาฮาลก็คือ เพื่อนคนหนึ่งของฉันนุ่งห่มส่าหรีด้วยผ้าผืนเดียวแบบคนอินเดีย แต่เป็นการใส่แบบมั่ว ๆ งง ๆ แบบที่คนอินเดียเขาไม่ใส่กันแบบนี้ สาว ๆ ชาวอินเดียกลุ่มนี้เห็นเข้าก็อดรนทนไม่ไหว เดินเข้ามาสะกิดบอก และช่วยนุ่งห่มให้ใหม่แบบถูกต้องสวยงาม และที่สำคัญไม่ได้เรียกร้องเงินตอบแทนแต่อย่างใด

นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย

เดินชมบริเวณสวนที่โอบล้อมทัชมาฮาลกันอีกสักพัก มองดูนักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวอินเดียเองถ่ายรูปกับทัชมาฮาลด้วยความสนุกสนาน ก่อนจะกล่าวบอกลากับทัชมาฮาล ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาเยือนที่นี่เป็นครั้งที่ 3 หรือไม่ รู้เพียงแต่ว่าที่แห่งนี้ สวยงามสมกับเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักและความตาย และยิ่งใหญ่สมกับหนี่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจริง ๆ

ทัชมาฮาลถ่ายจากสวนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ทัชมาฮาลในมุมต่าง ๆ

10 สิ่งควรรู้ก่อนไปเที่ยวอินเดีย

1.คนไทยไปเที่ยวอินเดียต้องขอวีซ่า วิธีที่ง่ายสุดคือ การขอวีซ่า E-visa ซึ่งเป็นการขอวีซ่าออนไลน์ที่เว็บไซต์ http://indianvisaonline.gov.in (ต้องลงท้ายด้วย .gov.in เท่านั้น ถ้าเป็นอย่างอื่นคือเว็บไซต์ปลอมหรือเว็บไซต์ของเอเจนซี่ที่รับทำวีซ่า อาจจะเสียเงินมากกว่าปกติ) โดยในการขอ E-visa ใช้แค่ไฟล์ภาพถ่าย ไฟล์หน้าพาสปอร์ต ข้อมูลส่วนตัว และบัตรเครดิตสำหรับจ่ายเงินเท่านั้น ราคาก็คือ วีซ่า 30 วันราคา 27.5 USD วีซ่าแบบ 30 วันราคา 40 USD และวีซ่าแบบ 5 ปี ราคา 84 USD จากนั้นจะมีอีเมล์ตอบกลับพร้อมเอกสารอนุมัติวีซ่า ให้ปริ้นเอกสารใบนี้ไปเพื่อยื่นให้เจ้าหน้าที่ตั้งแต่ตอนเช็กอินขึ้นเครื่องบินและตอนผ่านด่าน ตม.ที่อินเดีย

2.เงินอินเดียเป็นสกุลรูปี 1 รูปีเท่ากัน 0.44 บาท หรือคิดง่าย ๆ ก็คือ 1 รูปีเท่ากับ 50 สตางค์ เวลาใช้จ่ายเงินจะได้ไม่ต้องคำนวณให้งงมาก

3.การไปเที่ยวทัชมาฮาลสามารถบินไปลงที่สนามบินอินทิราคานธี ที่ตั้งอยู่ที่เมืองหลวงกรุงนิวเดลี หรือที่สนามบินชัยปุระ ที่เมืองชัยปุระ แคว้นราชสถานก็ได้ แล้วเดินทางด้วยรถยนต์หรือรถไฟมาเที่ยวเมืองอักรา ที่ตั้งของทัชมาฮาล

4.ตามสถานที่ท่องเที่ยวของอินเดียโดยมากจะมีคนมาเสนอตัวเป็นไกด์นำเที่ยวให้คุณ โดยมากจะยืนอยู่แถว ๆ จุดขายตั๋ว บอกคนก็เสนอราคาค่าบริการมาเลย บางคนก็บอกแล้วแต่จะให้ บางคนอาจจะบอกว่า ถ้าไม่พอใจหลังบริการจะไม่จ่ายเงินก็ได้ ก็อยู่ที่คุณว่าอยากได้ความรู้ ประวัติความเป็นมา เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของสถานที่นั้นไหม ถ้าต้องการก็ตกลงราคากันให้แน่นอนไปเลย แต่ถ้าไม่ต้องการก็แค่ปฏิเสธแล้วรีบเดินจากไป

5.ตามถนนหนทางในอินเดียคุณสามารถพบเจอสัตว์ได้มากมาย ทั้งวัว ลา ม้า อูฐ รถเองจะต้องหลบให้สัตว์พวกนี้ โดยเฉพาะวัว เพราะคนอินเดียส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งชาวฮินดูจะนับถือวัวนั่นเอง

วัวตามถนน

6.เสียงบีบแตรรถคือสิ่งที่อยู่คู่ถนนในอินเดีย ยิ่งในเมืองจะบีบแตรทุกวินาทีจนคุณหูชา แต่อยู่ไปนาน ๆ จะชินหูไปเอง คนอินเดียกล่าวติดตลกว่า เบรกเสียไม่เป็นไร แต่แตรห้ามเสีย

7.คนอินเดียชื่นชอบชาวต่างชาติ เวลาเจอชาวต่างชาติพวกเขาจะจ้อง จ้อง และจ้อง ประหนึ่งเราเป็นซูเปอร์สตาร์มาเยือน บางคนก็จะเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก็ให้ระมัดระวังพวกหนุ่ม ๆ อาจจะมือไวถึงเนื้อถึงตัวนิดนึง

อาหารอินเดียเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่หลายคนกังวลเวลาไปเที่ยวอินเดีย ถ้าคุณชอบเครื่องเทศที่นี่คือสวรรค์ แต่ถ้าคุณไม่ชอบ ให้เตรียมอาหารสำเร็จรูปไปจากไทย แล้วไปสั่งข้าวเปล่า ไข่ต้ม ไข่ดาว หรือไก่ทอด กินคู่กับอาหารที่เตรียมไปได้ ช่วยชีวิตได้เยอะเลยทีเดียว และอีกอย่างคือ หากรับประทานอาหารท้องถิ่น ควรสั่งกินแบบปรุงสดร้อน ๆ เพื่อป้องกันการเกิดท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษ เพราะอย่างที่ทราบกันดี ขั้นตอนการทำอาหารของอินเดียหลายที่ไม่ค่อยถูกสุขอนามัยสักเท่าไหร่ และยิ่งถ้าคุณเป็นคนท้องไส้ไวต่ออาหารไม่สะอาด ให้เตรียมยาแก้ท้องอืดท้องเสีย และยาสามัญชนิดอื่น ๆ เผื่อไปด้วย เตรียมความพร้อมไปเองดีกว่าไปหาเอาข้างหน้า

ร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มริมทาง

ยำถั่วสไตล์อินเดีย

อาหารอินเดียเรียกว่า ทาลี อาหารประจำแคว้น

9.ที่อินเดียฝุ่นควันจากรถค่อนข้างมาก เตรียมผ้าปิดปากไปก็จะช่วยกรองฝุ่น ควัน มลพิษ และเชื้อโรคต่าง ๆ ได้

10.การชอปปิงที่อินเดียสนุกมาก ๆ โดยเฉพาะการต่อราคาให้ต่อแบบลดลงมากกว่า 50% เราเคยเจอมาแล้วในการไปเที่ยวอินเดียครั้งแรก เจอของที่ระลึกเสนอขายในราคาอันละ 200 รูปี ต่อรองราคาลงมาเหลือ 100 รูปีได้ก็ดีใจแล้ว แต่เดินคล้อยหลังมาไม่ทันไร เจอคนเอาของมาเร่ขายแบบเดียวกันเป๊ะแต่ราคา 3 อัน 100 รูปีเฉยเลย แถมจะลดราคาให้อีก เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนให้จดจำในการซื้อของครั้งต่อไปได้เป็นอย่างดี

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *