5 เสืออสังหาริมทรัพย์เมืองไทย

เพราะที่ดินเป็นทรัพยากรอันจำกัด และเป็นภาคส่วนที่ใช้งบประมาณการลงทุนที่สูงมาก ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นภาคส่วนที่น่าสนใจ และเป็นที่จับตามองมาทุกยุคทุกสมัย ตราบใดที่ประเทศเรายังต้องพัฒนาเพื่อความก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ  เราจึงขอนำเสนอนักธุรกิจนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยชั้นนำ มาให้ทุกท่านรู้จักรวมห้าคน เพื่อสร้าง “พลังชีวิต” ในช่วงเวลาอันยากลำบากให้กับทุกท่าน

ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์: พ่อพระ “พฤกษา”

เมื่อเอ่ยถึง “พฤกษา” บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ระดับแนวหน้า ชื่อที่ผู้บริโภคต้องผุดขึ้นในมโนก็คือ “ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์” เด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่กลายมาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของไทย จากอาชีพแรกเป็นแค่ผู้รับเหมาก่อสร้าง กลับหาญกล้าก่อตั้งพฤกษา ในปี 2536 ด้วยเงินทุนจดทะเบียนเพียง 50 ล้านบาท เพื่อจับกลุ่มที่มีรายได้น้อยเป็นเริ่มแรก จนกระทั่งวันนี้ เด็กต่างจังหวัดอย่างทองมาพาพฤกษามาพบกับความสำเร็จในระดับประเทศแล้ว

จากจุดเริ่มต้นทาวน์เฮาส์ เขาได้ก้าวสู่ตลาดบ้านเดี่ยวในปี 2544 เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจของตัวเอง ตลาดของพฤกษาจึงประกอบด้วยชนหลากหลายชั้น ตั้งแต่ทาวน์เฮาส์ราคาถูกราว 6 แสนบาท ไปจนบ้านเดี่ยวแพงระยับกว่า 5 ล้านบาท และในฐานะวิศวกร เขาจึงมีความสามารถในการควบคุมต้นทุน ด้วยการนำเทคโนโลยีก่อสร้างด้วยระบบสำเร็จรูปจากฝรั่งเศสมาใช้แต่เริ่มแรก ลดเวลาการก่อสร้างจากหลังละ 6 เดือน เหลือเพียง 2 เดือน ทำให้ประหยัดเวลา ค่าแรง และดอกเบี้ย ตลอดจนกำหนดราคาขายได้ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างเหนือชั้น

ต้นปี 2566 ครบรอบ 30 ปีที่ทองมาได้เปลี่ยนแปลงชีวิต จากเถ้าแก่รับเหมามาสู่ developer ชั้นแนวหน้า เขาได้ส่งมอบ “พฤกษา” บรรณาการแห่งชีวิตให้กับผู้บริหารรุ่นต่อไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในการอยู่อาศัยแบบ Live well, Stay well โดยผนึกผสานสามธุรกิจในเครือ “อสังหาริมทรัพย์-เฮลท์แคร์-อีคอมเมิร์ซ” เข้าด้วยกับ เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้สะดวกสบาย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล

และในฐานะของเด็กต่างจังหวัด ที่เข้ามาใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบในกรุงเทพฯ เขาจึงไม่ลืมที่จะตอบแทนสังคมด้วยการมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชน ทั้ง “ทุนพฤกษา” และทุนส่วนตัวในนาม “ทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์” นับตั้งแต่ปี 2553 อีกด้วย

เส้นทางความสำเร็จของทองมา: เขามีโอกาสศึกษาในระบบแค่ ป.4 หลังจากนั้นต้องทำงานเป็นลูกจ้างร้านทำรางระบายน้ำฝนและถังเก็บน้ำแข็ง ร้ายขายยา และร้านทำทองมาเป็นลำดับ แม้จะศึกษาผ่านระบบสอบเทียบจนสอบเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้ เขาก็ยังใช้เวลาช่วงเย็นและค่ำทำงานรับจ้างต่อไปเพื่อหาเงินค่าเทอม จนโชคดีที่ได้รับทุนการศึกษาจึงสามารถจบการศึกษาได้ตามกำหนด หลังเรียนจบเขาได้ประกอบอาชีพวิศวกรอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ต่อมาก็ลาออกเพิ่มก่อตั้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง หจก.สยามเอ็นจิเนียริ่งเป็นของตน จนผ่านไปได้แปดปี ชีวิตก็หักเหอีกครั้งเมื่อรับเหมาก่อสร้างศูนย์การค้าดิโอลด์สยามพลาซ่าที่มีมูลค่าถึง 230 ล้านบาทเป็นงานสุดท้าย แล้วได้ก่อตั้ง “พฤกษา เรียลเอสเตท” ขึ้นในปี 2536  หลังจากนั้นได้เป็นเป็น “พฤกษา โฮลดิ้ง” ในปี 2559 เพราะขยายธุรกิจไปสู่กิจการด้านสุขภาพและธุรกิจไอทีอันทันยุคสมัย และต่อมาในปี 2564 ได้เปิดโรงพยาบาลวิมุตในทำเลทอง ใกล้สี่แยกสะพานควาย และในปี 2565 ได้เปิดบริษัทซินเนอร์จีโกรท ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่มุ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ปัจจุบันทองมาคือผู้ถือหุ้นใหญ่สุดในพฤกษาโฮลดิ้งรวมทั้งสิ้น 1,318,190,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 60.23 ขณะที่มูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของพฤกษารวม 27,137.46 ล้านบาท

กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์: “แอสเซทไวส์” หน้าใหม่คิดใหม่

“แอสเซทไวส์” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ไม่หน้าใหม่ในประสบการณ์เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2548 แล้ว  “กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหนุ่ม กล้าก้าวเดินสวนทางกับนักพัฒนาฯ รายอื่น จากเริ่มต้นจับตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ แต่พอเข้าปี 2556 จึงใจใหญ่ใจกล้าขึ้นเริ่มจับตลาดคอนโดมิเนียม

แต่เขากลับเดินทางธุรกิจสวนทางกับนักพัฒนาฯ เจ้าอื่น ด้วยสายตาอันแหลมคมที่มองเห็นทำเลที่ยังเป็นช่องว่าง ยังไม่มีใครลงสนามแข่งด้วย นั่นคือ ทำเลที่ใกล้กับสถานศึกษาและมหาวิทยาลัย เพราะในแต่ละแคมปัสที่เขาเลือกลงหลักปักโครงการ ไม่ว่ามหาวิทยาลัยกรุงเทพหรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ย่านรังสิต หรือมหาวิทยาลัยมหิดล ย่านศาลายา มีจำนวนนักศึกษาเป็นหลักหมื่นจบกระทั่งครึ่งแสนทีเดียว ซึ่งจะได้กำลังซื้อจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่จัดหาที่พักให้บุตรหลานที่ยังเป็นนักศึกษาในทกุ ๆ ปี หลังจากนั้น หากซื้อขาดไปแล้วก็อาจลงทุนด้วยการปล่อยเช่าได้ อาจกล่าวได้ว่าหากคิดถึง “แคมปัสคอนโด” ก็ต้องนึกถึง “แอสเซทไวส์” นั่นเอง

จากแต่เดิม กรมเชษฐ์เป็นวิศวกรเล็ก ๆ คนหนึ่งในบริษัท จวนจบเขาเริ่มเข้าวัย 30 ต้น ๆ จึงเริ่มต้นธุรกิจเป็นของตัวเอง ด้วยการเป็นนายหน้าติดป้ายซื้อ-ขายบ้านหรือสำนักงานทั่วไป จากนับเริ่มจับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เต็มตัว ด้วยการลงทุนกู้เงินไปซื้อทาวน์เฮาส์ที่ค้างสต็อก หรือเป็นโครงการที่ขายไม่ดีนักมาตกแต่งใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแล้วประกาศขาย ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จค่อนข้างดี สุดท้าย  “แอสเซทไวส์” จึงเกิดขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของชายหนุ่มเอง

โดยเขาเชื่อว่าความเข้าใจในความต้องการของตลาด การรับรู้ในภาพกว้างว่าผู้บริโภคสนใจ หรือมีไลฟ์สไตล์อย่างไร ทั้งผู้ที่มีกำลังซื้อน้อยและมีกำลังซื้อมากมีเงื่อนไขแตกต่างกันอย่างไร จะช่วยให้เขาแข่งขันกับเจ้าตลาดรายใหญ่เดิม ๆ ได้ในที่สุด

เส้นทางความสำเร็จของกรมเชษฐ์: กรมเชษฐ์คือหนึ่งในอดีตวิศวกรที่เผชิญวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 เขาทำงานให้บริษัทจนถึงนาทีสุดท้ายที่บริษัทปิดตัวลง หลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มคลายตัวใน 4-5 ปีให้หลัง เขาเริ่มต้นจากธุรกิจเล็ก ๆ แล้วก้าวสู่การเปิด “แอสเซทไวส์” ของตัวเองในปี 2548 ด้วยทุนจดทะเบียนเพียงแค่ล้านเดียว พอเข้าปี 2556 ก็เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 100 ล้านบาท พร้อมจัดตั้งบริษัทใหม่ในเครืออีกสามแห่ง ได้แก่ บริษัท 39 เอสเตท จำกัด, บริษัทไพรซ์พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และบริษัทเอสเตทคิว จำกัด เพื่อรุกตลาดคอนโดมิเนียมอย่างมุ่งมั่นจริงจัง ปี 2557 จัดตั้งบริษัทซินเนอจี้เอสเตท จำกัด เพื่อพัฒนาทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว ปี 2559 จัดตั้งบริษัทเทรเชอร์เอ็ม จำกัด เพื่อรุกธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์อีกทางหนึ่ง และในปี 2564 บริษัทได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าในตลาด 7,822.35 ล้านบาท โดยกรมเชษฐ์ถือหุ้นทั้งหมด 219,304,350 หุ้น หรือร้อยละ 25.62

อนันต์ อัศวโภคิน: เจ้าพ่อ “แลนด์แอนด์เฮ้าส์”

ถ้าจะเรียกใครสักคนว่า “เจ้าพ่อ” แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ ก็คงหนีไม่พ้น ‘อนันต์ อัศวโภคิน’ แห่ง “แลนด์แอนด์เฮ้าส์” นอกจากโปรไฟล์ในฐานะนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้ว เขายังเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับต้น ๆ ของประเทศอีกด้วย อนันต์เข้ารับช่วงธุรกิจบ้านจัดสรรของแม่ ซึ่งก่อตั้งบริษัทแลนแอนด์เฮ้าส์เมื่อปี 2526 ด้วยอาศัยการบริหารแบบ “เลือดแม่” อันถ่ายทอดสู่ลูกแบบธุรกิจครอบครัว ผสานกับความรู้ด้านบริหารจัดการในฐานะนักเรียนนอก จนกระทั่งแลนด์แอนด์เฮ้าส์ยิ่งใหญ่ยั่งยืนตราบจนวันนี้

ในอดีตนั้น เขาเคยแหกธรรมเนียมธุรกิจบ้านจัดสรรจนเป็นที่ฮือฮากันมาแล้ว จากธรรมเนียมขายฝันผ่าน “กระดาษ” เสียก่อน เพื่อตุนเงินสดไว้ในกระเป๋า แล้วค่อยเริ่มก่อสร้างโครงการ แต่อนันต์กลับคิดสวนทาง เชื่อว่าผู้ซื้ออยากเห็นบ้านทั้งหลัง อยากสัมผัสจับต้องได้เสียก่อน ก่อนควักเงินซื้อ เขาจึงตอบสนองลูกบ้าน โดยให้ผู้ซื้อมาพร้อมกระเป๋าเดินทาง จ่ายเงินแล้วเข้าอยู่ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกใหม่มาก ๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน

หลักการในการประกอบธุรกิจของเขานั้น ได้กลายเป็นโมเดลให้นักธุรกิจรุ่นหลังยึดมั่นดั่งคัมภีร์ โดยเฉพาะความเป็นเจ้าของกิจการที่ครองใจคนในองค์กรได้อย่างเด็ดขาด แถมยังสยายปีกเข้าสู่ธุรกิจสาขาอื่น เช่น ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น รวมทั้งวิธีบริหารธุรกิจครอบครัวแบบมืออาชีพ

อนันต์ให้ข้อคิดว่า ในบริษัทมีใครเก่งกว่าเราไหม ลองถามตัวเองเรื่องนี้เสียก่อน หากวันนี้เราเป็นเจ้าของกิจการ แต่ทั้งบริษัทไม่มีใครเก่งกว่าเราเลย ก็เตรียมเจ๊งได้เลย เพราะเท่ากับว่าเราต้องบริหารงานไปจนตายใช่ไหม แล้วถ้าเราไม่อยู่กับบริษัทแล้วล่ะ จะเป็นอย่างไร หากเรามีคนเก่งกว่าในบริษัทมาก ๆ บริษัทจะก้าวหน้ารุ่งเรืองกว่าตอนที่เราอยู่แน่นอน ดังนั้นธุรกิจครอบครัวก็สามารถบริหารแบบมืออาชีพได้ ถ้าทุกคนทำตามธรรมนูญองค์กรที่วางไว้ร่วมกัน

เส้นทางความสำเร็จของอนันต์: หลังกลับจากการเรียนต่อที่สหรัฐฯ เขาได้ดำเนินธุรกิจต่อจากมารดา เพียงใจ หาญพาณิชย์ นักธุรกิจบ้านจัดสรรชื่อดังในเวลานั้น โดยได้ก่อตั้ง บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH)ในปี 2526 ต่อมาในปี  2528 เขานั่งเป็นประธานกรรมการบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน และปี 2532 บริษัทได้จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบันอนันต์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท LH รวม 2,860,000,047 คิดเป็นร้อยละ 23.93 และมีมูลค่าหลักทรัพย์ LH ตามราคาตลาดหลักทรัพย์ฯ 92,012.79 ล้านบาท (ข้อมูล 9 ตุลาคม 2566) นอกจากนั้น อาณาจักรแลนด์แอนด์เฮ้าส์ของเขายังได้แตกแขนกเป็นบริษัทในเครืออีกหลายแห่ง ได้แก่ ปี 2526 บริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ ทำธุรกิจที่พักอาศัยและอาคารสำนักงานให้เช่า ปี 2537 บริษัทควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ ทำธุรกิจอุปกรณ์ก่อสร้าง ปี 2538 ก่อตั้งบริษัทโฮมโปรดักส์เซ็นเตอร์ ทำธุรกิจค้าปลีกและตกแต่งบ้าน และปี 2547 ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ทำธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุน จัดการกองทุน และบริษัทหลักทรัพย์

ประทีป ตั้งมติธรรม: สถาปนิก “ศุภาลัย”

“ประทีป ตั้งมติธรรม” แห่ง “ศุภาลัย” เติบโตในครอบครัวที่ประกอบกิจการค้าไม้และวัสดุก่อสร้าง ที่มีคู่ค้าเป็นพวกผู้รับเหมาที่นิยมซื้อของเงินเชื่อ หลายรายเบี้ยวหนี้ไม่ยอมจ่ายเงิน จนเป็นเหตุให้กิจการขาดสภาพคล่อง ต้องเป็นหนี้สินคนอื่น แม่ต้องยืมเงินเพื่อนบ้านมาซื้อข้าวกิน กระทั่งบิดาจากไปด้วยอุบัติเหตุ ทำให้พี่ชายและพี่สาวต้องออกจากการเรียนเพื่อมารับช่วงกิจการต่อ

สำหรับประทีบนั้นโชคดีกว่า เพราะยังได้เรียนหนังสือต่อ แต่ก็เป็นไปด้วยสภาพยากจนข้นแค้น กางเกงนักเรียนต้องปะแล้วปะอีก พื้นรองเท้านักเรียนทะลุจนต้องใช้กระดาษแข็งรองเอาไว้ แต่ด้วยความชื่นชอบในการอ่านหนังสือออกแบบบ้าน อาคาร และสิ่งก่อสร้าง ทำให้เขาสอบเข้าเรียนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ แล้วก็ได้ทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา การศึกษาจึงเป็นใบเบิกทางให้เด็กแร้นแค้นเช่นเขา และที่สำคัญก็คือทำให้ฝันของเขาเป็นจริง มิใช่แค่ชื่นชมรูปบ้านสวย ๆ อีกต่อไป

ในปี 2532 เขาเริ่มต้นชีวิตตัวเองด้วยหวังไว้ว่า ในวันข้างหน้าต้องดีกว่าวันนี้ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) จึงเปิดตัวขึ้นด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 100 ล้านบาท ช่วงแรกเน้นไปที่รับสร้างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ก่อนที่จะขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ ทั้งแนวราบและแนวสูง ท่ามกลางยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟูและราคาที่ดินเป็นขาขึ้น ภายใต้รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ชั่วเพียงแค่สามปีเท่านั้น ศุภาลัยก็เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้ หลังจากนั้นก็ได้กระจายความเสี่ยงขยายการลงทุนไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซีย เป็นต้น

เขาเป็นนักพัฒนาอสังหาฯ ซึ่งมีพื้นฐานจากอาชีพสถาปนิก มีรสนิยมในทางศิลปะและเข้าใจในสุนทรียศาสตร์ จึงช่วยให้เขาเข้าใจความคิดของผู้คนได้ดียิ่งขึ้น และด้วยความชื่นชอบในการถ่ายภาพ เขาได้ประมวลภาพถ่ายฝีมือตัวเองจากทั่วโลก รวบรวมไว้เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายส่วนตัวถึงสามเล่ม

เส้นทางความสำเร็จของประทีป: จากวัยเด็กที่ต้องสวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้าขาด ๆ ไปโรงแรม แต่ด้วยความเพียรจึงทำให้เขาเรียนจบและได้เป็นสถาปนิกได้สมดั่งใจ หลังเรียนจบเขาได้เริ่มทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนที่บริษัทอีอีซี ซึ่งเป็นสำนักงานออกแบบ ที่ทำให้เขาฝึกฝนผีมือ และได้โอกาสส่งผลงานเข้าประกวดจนได้รางวัลติดกลับมา จนเป็นดีกรีให้ไปเรียนต่อยังต่างประเทศ ครั้นเมื่อเรียนจบกลับบ้านเกิด ก็ได้ร่วมมือกับพี่ชายคนโตก่อตั้้งบริษัทมั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) ในปี 2516 และเกิดโครงการหมู่บ้านชวนชื่นเป็นครั้งแรกในปี 2520 ต่อมามั่นคงเคหะการได้กลายเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ต่อมาความเห็นในทางธุรกิจระหว่างพี่กับน้องเริ่มไม่ต้องกัน ในปี 2532 เขาจึงแยกตัวออกมาเปิด บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) โดยช่วงแรกจะเน้นไปที่การสร้างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ก่อนที่จะขยายไปยังธุรกิจอื่น ๆ ในวันนี้ศุภาลัยมีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึง 37,889.25 ล้านบาท ตัวเขาถือหุ้นเป็นอันดับหนึ่ง 562,415,455   หุ้น หรือร้อยละ 28.80 ขณะที่ยังคงมีหุ้นในมั่นคงเคหะการอีก 141,934,082 หุ้น หรือร้อยละ 13.01

เศรษฐา ทวีสิน: นายกฯ “แสนสิริ”

ชีวิตของ “เศรษฐา ทวีสิน” แห่ง “แสนสิริ” อาจต่างไปจากนักธุรกิจชั้นนำรายอื่น เพราะปูมหลังทางครอบครัวนั้นมีฐานะอยู่แล้ว แต่ก็ด้วยอัจฉริยะทางบริหารอันโดดเด่นของเศรษฐาเอง ทำให้แสนสิริได้กลายเป็นอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ที่มี “แบรนด์” แข็งแกร่งยากที่ใครจะทาบ หากใครคิดจะซื้อบ้าน แสนสิริมักเป็นหนึ่งในตัวเลือกเสมอ

เขาก่อตั้งแสนสิริในปี 2531 โดยรับหน้าที่วางแผนเชิงยุทธศาสตร์และการบริหาร จนกลายเป็นเจ้าพ่อนักวางแผนและวางกลยุทธ์ เขานั้นทำงานอย่างดุดันจริงจังอย่างยิ่ง จนกระทั่งแสนสิริมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม

ด้วยประสบการณ์ด้านการตลาดจากบรรษัทข้ามชาติ ทำให้เศรษฐาได้รับการยกย่องให้เป็นยอดนักขายและนักการตลาดชั้นเยี่ยม เขาเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ยืดหยุ่นไปตามยุค ไม่ตกสมัย และคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก พร้อมทั้งมีจิตวิทยาอย่างสูง ทำให้ผลงานโฆษณาของบริษัทแต่ละชิ้นงาน มักเป็นที่จับตาและถูกพูดถึงในด้านความคิดสร้างสรรค์ จนกลายเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์เสมอ จึงไม่แปลกที่แบรนด์แสนสิริจะเป็นที่รู้จักในอันดับต้น ๆ ในวงการ

นอกจากนักวางกลยุทธ์แล้ว เขายังได้รับการยกย่องให้เป็นโมเดลของความกล้าตัดสินใจและแก้ปัญหา ทั้งยังเด็ดขาด เดินหน้าสู้ปัญหา จนบริษัทฝ่าวิกฤติมรสุมเศรษฐกิจอันสาหัสสากรรจ์มาหลายระลอก แม้แต่วิกฤติการณ์โควิด จึงไม่แปลกที่เศรษฐาจะเป็นที่จับตาและเป็นความหวังของคนทั้งประเทศ ในบทบาทนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

เส้นทางความสำเร็จของเศรษฐา: หลังสำเร็จการศึกษาในปี 2529 ได้เดินทางกลับไทยเพื่อรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (Procter & Gamble) เป็นระยะเวลา 4 ปี ต่อมาได้ย้ายไปทำงานที่ บจก.แสนสำราญของลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.แสนสิริ ในปี 2531 โดยเศรษฐาได้รับตำแห่งประเจ้าหน้าที่บริหารตั้งแต่นั้นมา และได้นำแสนสิริเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2539 อย่างไรก็ตามเมื่อเขาประกาศเจตนาว่าจะลงเล่นการเมือง ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งต่าง ๆ ในบริษัท โดยให้มีผลตั้งแต่ 3 เมษายน 2566 เป็นต้นไป จากนั้นได้โอนหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 13 บริษัทให้กับคนอื่น โดยหุ้นของแสนสิริที่เศรษฐาเคยถือไว้ 661,002,734 หุ้น หรือร้อยละ 4.44 ได้โอนให้แก่นางสาวชนัญดา ทวีสิน บุตรสาว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *