อุตสาหกรรมพลังงานเกี่ยวข้องและใกล้ชิดกับผู้คนมากที่สุดธุรกิจหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า ในรอบ 10 กว่าปีมานี้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในธุรกิจพลังงานทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิกฤตการณ์โลกร้อนเป็นปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจพลังงานเป็นอีกแขนงหนึ่งที่ต้องทบทวนตัวเอง จนนำไปสู่การสร้างสรรค์ทางเลือกใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจดังกล่าวต้องใช้เม็ดเงินลงทุนที่สูงมาก หนำซ้ำธุรกิจพลังงานในไทยเองยังต้องทำความตกลงกับทางภาครัฐอย่างซับซ้อน จึงทำให้ผู้ประกอบธุรกิจแขนงนี้ต้องมีศักยภาพอย่างสูงยิ่ง จึงจะสามารถที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จได้ ในวันนี้เราจะพาทุกท่านทำความรู้จักกับ 3 ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานของประเทศไทย
สารัชถ์ รัตนาวะดี: มนุษย์ไฟฟ้า “กัลฟ์”

ย้อนหลังไปสักสิบปี ชื่อของ “สารัชถ์ รัตนาวะดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ทันทีที่บริษัทของเขาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ชื่อของสารัชถ์ ก็ทะยานเข้าสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีเมืองไทยแทบจะทันควัน ระหว่างปี 2562-2564 ตลอดทั้งสามปี สารัชถ์ครองแชมป์ผู้ถือครองหุ้นมูลค่าสูงสุดของประเทศ และถัดมาในปี 2565 สารัชถ์ไต่อันดับแซงเจ้าสัวแชมป์เก่าขึ้นเป็นมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของประเทศไทย ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวม 4.32 แสนล้านบาท จนในวันนี้ชื่อของเขาเป็นที่สนใจของคนทั่วไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ย้อนไปในวัยเด็ก เขามีทั้งพ่อและปู่เป็นทหาร ซ้ำยังเรียนจบในระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ย่อมขัดเกลาให้เป็นผู้มีวินัยในชีวิตอยู่ไม่น้อย และในหนังสือรุ่นของวชิราวุธฯ รุ่นที่ 55 ระบุว่า เขาเป็นคนโกรธง่ายแต่หายเร็ว และยังเป็นคนที่เรียนเก่งคนหนึ่งของรุ่นด้วย ส่วนครูท่านหนึ่งระบุว่า สารัชถ์เป็นคนมีเหตุผล เจ้าปัญญา และเป็นผู้ใหญ่เกินวัย แต่ถึงแม้เจ้าตัวจะเติบโตในครอบครัวทหาร แต่กลับเลือกเส้นทางชีวิตในสายธุรกิจแทน และยังเป็นเส้นทางที่รุ่งโรจน์อีกด้วย
ในปี 2535 พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 (สมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี) ถูกบัญญัติขึ้น และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมพลังงานแห่งชาติ โดยเชิญชวนให้ผู้ผลิตเอกชนอิสระรายใหญ่ (Independent Power Producer: IPP) มาผลิตไฟฟ้าขายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในช่วงนี้นี่เอง เป็นห้วงเวลาที่สารัชถ์เรียนจบจากต่างประเทศ แล้วกลับมาก่อตั้งธุรกิจพลังงานไฟฟ้าของตัวเองด้วยวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น ภายใต้ชื่อบริษัท กัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด
โครงการ IIP ที่กลุ่มบริษัทกัลฟ์ (GULF) ได้รับในช่วงแรกก็คือ งานสัมปทานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังถ่านหินบ่อนอก ต.บ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ มูลค่าสามหมื่นล้านบาท โดยบริษัทลูกของกลุ่มบริษัทกัลฟ์ลงนามในสัญญากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อกรกฎาคม 2540 เพื่อซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐเป็นเวลา 25 ปี แต่ถูกชาวบ้านในพื้นที่คัดค้านอย่างหนักจนเป็นข่าวโด่งดังในตอนนั้น จนรัฐบาลตัดสินใจยกเลิกโครงการ แต่นั่นหาใช่ความพ่ายแพ้สำหรับชายหนุ่มคนนี้ สารัชถ์แปรวิกฤตเป็นโอกาส เปิดโต๊ะเจรจาต่อรองกับฝ่ายรัฐอย่างปราดเปรื่อง ขอย้ายที่ตั้งโรงไฟฟ้าไปยัง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี (โรงไฟฟ้าแก่งคอย 1 และ 2) พร้อมเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากถ่านหินมาใช้ก๊าซธรรมชาติแทน และเพิ่มกำลังการผลิตจาก 734 เมกะวัตต์ เป็น 1,468 เมกะวัตต์ เพื่อแลกกับการไม่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐหลายพันล้านบาท นั่นคือจุดตั้งต้นแห่งความรุ่งเรืองของกลุ่มบริษัทกัลฟ์ ภายใต้การกุมบังเหียนของสารัชถ์
และนี่คือจุด “เทคออฟ” ของอาณาจักรพลังงานมูลค่ากว่าแสนล้านบาทของกัลฟ์ (GULF) ในวันนี้ ลูกค้าของกัลฟ์ปัจจุบันมากกว่าร้อยละ 91 คือ กฟผ. และเป็นลูกค้าอุตสาหกรรมเพียงร้อยละ 9 เท่านั้น จนกระทั่งปี 2554 เขาจัดตั้งบริษัทโฮลดิงส์ในชื่อ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ เพื่อถือหุ้นบริษัทต่าง ๆ ในเครือ ก่อนนำอาณาจักรกัลฟ์เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2560 และแล้วชื่อของ สารัชถ์ รัตนาวะดี ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่นักลงทุนและคนทั่วไป
โครงสร้างธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทกัลฟ์ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจพลังงาน ประกอบด้วย ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งแสงอาทิตย์ ลม และ น้ำ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค เช่น พัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด หรือโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง และธุรกิจดิจิทัล ซึ่งในปี 2564 เขาสร้างความฮือฮาด้วยการตัดสินใจเทกโอเวอร์กิจการโทรคมนาคม บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ทำให้กลายเป็นเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเอไอเอสและดาวเทียมไทยคมไปด้วย
เขาถือเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่เติบโตในแวดวงของคนชั้นนำระดับประเทศ สนิทสนมกับผู้ใหญ่ในหลายวงการ และมากไปด้วย “คอนเน็กชั่น” ทั้งในแวดวงธุรกิจการเมือง การเงินการธนาคาร และอื่น ๆ รวมทั้งเข้าร่วมอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ที่จัดโดยภาครัฐและเอกชนอยู่เสมอ
แม้จะเป็นผู้ร่ำรวยมีทรัพย์สินสูงสุดในประเทศ แต่สารัชถ์ก็ยังเป็นมหาเศรษฐีผู้เก็บตัว หลีกเลี่ยงงานสังคม ไม่มีภาพถ่ายในสื่อ และแทบไม่เคยให้สัมภาษณ์ใด ๆ ความคิดเห็นของเขาจะปรากฎก็เฉพาะในรายงานประจำปีของบริษัทเท่านั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เขากำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ให้กับภาคธุรกิจของไทยในอีกไม่นานเกินรอ
สมโภชน์ อาหุนัย: “อีเอ” พลังงานครบวงจร

การลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดกำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะ จนคนในอดีตคงยากจะเชื่อว่า “สายลม-แสงแดด” อันเป็นทรัพยากรแบบได้เปล่า จะกลายมามีมูลค่า และหนุนส่งให้อดีต “มนุษย์เงินเดือน” อย่างสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ติดอันดับมหาเศรษฐีไทยในลำดับที่ 6 โดยมครอบครองมูลค่าทรัพย์สิน 3.9 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.37 แสนล้านบาท ในปี 2565
สมโภชน์เคยให้สัมภาษณ์ว่า เป็นคนที่เชื่อมั่นต่อการวางแผนชีวิตพอสมควร เช่น อายุช่วงนี้ต้องทำอะไร เรียนจบแล้วทำอะไรต่อ ทำงานกี่ปีถึงไปเรียนต่อ ต้องมีบ้านตอนอายุเท่าไหร่ หรือแม้แต่ตอนเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สาขาไฟฟ้า ก็เริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่เส้นทางของตัวเอง เพราะเขาอยากประกอบธุรกิจ เดินตามรอยของครอยครัวมากกว่า จึงหาข้อสรุปใหเกับตัวเองได้ว่า เรียนปริญญาตรีเพื่อสิ่งที่อยากรู้ แต่เรียนปริญญาโทเพื่อสิ่งที่อยากทำ
ดังนั้นเมื่อเรียนจบปริญญาโทด้านการเงินจากสหรัฐฯ เขาจึงกลับมาเริ่มต้นทำงานประจำเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ตามโบรกเกอร์ต่าง ๆ แต่ก็เป็นสัจธรรมที่ว่าชีวิตนั้นหาความแน่นอนได้ยาก เมื่อเกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” อันสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลก เขาก็ต้องหลุดออกจากวงจรของ “มนุษย์ทองคำ” ในยุคนั้น
ต่อมาสมโภชน์ได้กลายเป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พักหนึ่ง แต่พอได้เห็นเทรนด์ของโลกในด้านพลังงานทดแทน เขาจึงคิดการณ์ใหญ่ โดยเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทของตัวเอง แม้จะยอมรับว่า ถึงเขาจะเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ก็แทบไม่รู้เรื่องพวกนี้สักเท่าไรเลย ทว่าด้วยจุดแข็งของเขาเองที่เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์การลงทุน ซึ่งเป็นพื้นฐานจากงานเก่าของเขาเอง สมโภชน์จึงกล้าลงทุนในสิ่งใหม่ ๆ ก่อนหน้าคนอื่น กล้าทำในสิ่งที่คนอื่น ๆ ยังไม่กล้า เขาบอกว่าจะไม่ยอมเสียโอกาสเด็ดขาด โดยเชื่อว่า การทำงานเพื่อให้ได้ผลตอบแทนก้อนใหญ่ ต้องกล้าทำในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น เมื่อคนอื่นมองไม่เห็นนั่นคือ “ความเสี่ยง” แต่ถ้าเราเข้าใจสิ่งนั้นถ่องแท้ ก็อาจจะพบว่าความเสี่ยงตอนแรกที่ว่า 100 ความเป็นจริงอาจเหลือแค่ 50 ก็ได้
ในปี 2549 สมโภชน์จึงเริ่มต้นก่อตั้งบริษัท ซันเทคปาล์มออยล์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท หลังจากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) มุ่งสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนอย่างเต็มตัว เริ่มตั้งแต่ลงทุนในไบโอดีเซลอันเป็นยุคแรก ต่อมาก็เริ่มลงทุนกับพลังงานแสงอาทิตย์-พลังงานลม บริษัทของเขาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ตั้งแต่ปี 2556 ก่อนย้ายเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2560
แม้สายลม-แสงแดดจากธรรมชาติจะไร้ต้นทุน แต่ก็เพราะธรรมชาตินั่นเอง เป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ วันไหนแดดหาย วันไหนลมหมด ก็ไม่มีทางผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ทำให้เขากล้ามองหานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ด้านพลังงาน มาเสริมช่องว่างทางธุรกิจของตนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นั่นคือ “แบตเตอรี่” และ “ยานยนต์ไฟฟ้า”
โดยลงทุนเปิดโรงงานเพื่อพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน สำหรับอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้า และยังเริ่มเปิดธุรกิจบริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเป็นรายแรก ภายใต้ชื่อ EA Anywhere พร้อมทั้งเริ่มต้นสรรค์สร้างยานยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบและพัฒนาโดยฝีมือคนไทย 100% ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า (ภายใต้ชื่อ Mine Mobility) และ เรือไฟฟ้า
สมโภชน์เชื่อว่า กลุ่มบริษัทอีเอนั้นเดินมาถูกที่ถูกเวลาแล้วในเรื่องพลังงาน แม้ต้องเสี่ยงกว่าคนอื่นก็ตาม แต่ด้วยวิสัยทัศน์นั่นเอง เราจึงคาดการณ์ได้อย่างไม่พลาด เช่นสถานีชาร์จพลังงานที่เริ่มเห็นกันแล้ว แต่ทางบริษัทเริ่มต้นมาหลายปีแล้ว แต่เราก็ต้องยอมรับด้วยว่าธุรกิจเหล่านี้กำลังเป็นเทรนด์ ย่อมหลีกเลี่ยงการแข่งขันได้ยาก จึงเป็นความท้าทายที่อีเอต้องเผชิญต่อไป แม้ว่าจะมีแต้มต่อเพราะก่อร่างสร้างธุรกิจพวกนี้มาก่อน แต่ก็มิได้หมายความเราจะนำเขาเสมอไป
ด้วยความตั้งใจที่อยากจะสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้กับคนไทย ไม่ว่ารถยนต์ไฟฟ้า หรือเรือไฟฟ้า เพื่อช่วยลดมลพิษ เขาจึงหวังไว้ว่า ธุรกิจที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือตัวเองในวันนี้จะเติบโตงอกงามกลายเป็น “สถาบัน” ในวันข้างหน้า เพราะอยากเห็นว่าความรู้ที่ตัวเองสร้างขึ้นจะช่วยเหลือสังคมหรือประเทศได้อย่างไร หรือจะถ่ายทอดไปสู่คนอีกรุ่นได้อย่างไร
จนอาจกล่าวได้ว่า เขาเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจพลังงานสะอาดครบวงจรรายแรก ๆ ของไทยได้ เพราะความสามารถในการมองการณ์ไกลของตัวเอง ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การลงทุนในธุรกิจพลังงานได้กลายเป็นเวทีแข่งขันในยุค New S-curve บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) จึงเป็นหนึ่งในธุรกิจพลังงานที่สามารถสร้างการเติบโตและเข้มแข็งได้อย่างก้าวกระโดด
ดร.ฮาราลด์ ลิงค์: ก้าวกระโดดสีเขียวของ “บี.กริม”

บี.กริม (BGRIM) คือกลุ่มธุรกิจสัญชาติเยอรมันที่ดำเนินกิจการในไทยยาวนานกว่า 145 ปีแล้ว จนกล่าวได้ว่าเป็นองค์กรธุรกิจที่พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและการสาธารณสุขเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย แต่ภายหลังปี 2530 บี.กริม ภายใต้การนำของ ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ขยายอาณาจักรธุรกิจออกไปอย่างกว้างขวางมากกว่าอดีต รวมถึงธุรกิจพลังงานที่รู้จักกันในนาม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM อีกด้วย โดยได้เปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าแห่งแรกในปี 2541
บี.กริม เพาเวอร์เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 20 โครงการ และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกกว่า 35 โครงการ ล่าสุด ได้ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเกาหลี Saemangeum Sebit Power Co., Ltd. เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต 98.99 เมกะวัตต์ และขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนให้เข้าใกล้เป้าหมาย Net Zero ด้วยเม็ดเงินกว่า 400 ล้านบาท ผ่านบริษัทลูก B.Grimm Power Korea Limited ซึ่งบี.กริม เพาเวอร์ถือหุ้นในสัดส่วน 100%
เขาระบุว่าหัวใจในการทำงานของบี.กริมคือ การทำธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี จึงทำให้เรามีพันธมิตรมากมาย เมื่อคิดจะไปลงทุนยังต่างประเทศ ก็ไม่มีใครกลัวไม่มีใครเกลียด และยังไปด้วย “ไพโอเนียร์สปิริต” หมายถึงเราต้องคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับที่นั่นตลอดเวลา คนทั่วไปจึงยินดีคบหากับเรา ไม่ค่อยมีใครปฏิเสธ เช่นที่ออสเตรเลีย เราไปพบและพูดคุยกับคนพื้นเมืองหรืออะบอริจินได้ เพราะเขาก็อยากสร้างประโยชน์ให้กับสังคมของเขาเช่นกัน หลักของบีกริมคือการสร้างประโยชน์ให้กับสังคม มิได้แต่มุ่งทำกำไรสูงสุดอย่างเดียว
ด้วยเหตุนี้ พาร์ตเนอร์ของกลุ่มบริษัทบี.กริมจึงมีความสัมพันธ์อันยืนยาวและเหนียวแน่น วิกฤตต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีต บี.กริมจึงรอดมาได้ ไม่ว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัทถูกยึดทรัพย์หมดทุกครั้ง เพราะถือว่าเป็นสัญชาติเยอรมัน รวมทั้งวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540 ด้วย เพราะพาร์ตเนอร์เชื่อมั่นในตัวกลุ่มบริษัทบี.กริม ไม่มีใครทอดทิ้ง ต่างคนต่างช่วยกันยืดหนี้สินให้จนกลายเป็นหนี้ระยะยาวทั้งหมด พวกเขาเหล่านี้คอยช่วยสนับสนุนและช่วยเหลือ จนเป็นเหตุให้บี.กริมมีอายุยืนยาวมาได้กว่า 140 ปี
นอกจากนี้ บี.กริม เพาเวอร์ยังดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพราะการสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งมีมูลค่า 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งมีหนทางมากมายที่จะดำเนินการก่อสร้างอย่างไม่ตรงไปตรงมา เพื่อลดต้นทุนในส่วนนี้ แต่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากต้นทุนตัวเลขของโรงไฟฟ้า ที่บี.กริมสร้างโดยใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด กับโรงไฟฟ้าขนาดเดียวกันรายอื่นในตลาด ปรากฏบี.กริมมีต้นทุนรวมถูกกว่าเป็น 1,000 ล้านบาท
ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ยังประกาศยุทธศาสตร์ “Green Leap-Global and Green” เพื่อพลิกโฉมธุรกิจของตน โดยมุ่งเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดที่ยั่งยืนและปลอดภัยระดับโลก และยังคงยึดมั่นอยู่บนพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี ซึ่งถือเป็นหัวใจขององค์กร
เขาระบุว่าอยากเปิดศักราชใหม่ ปี 2566 ด้วยการพลิกโฉมธุรกิจสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดที่ยั่งยืนและปลอดภัยระดับโลก โดยมุ่งหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 50% ตามเทรนด์การใช้พลังงานที่เกิดขึ้นทั่วโลก พร้อมก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593
ภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าว บี.กริม เพาเวอร์จะเดินหน้าผลักดันลูกค้าภาคอุตสาหกรรมให้เปลี่ยนผ่านสู่อนาคตของพลังงานคาร์บอนต่ำ โดยมุ่งสู่การใช้พลังงานที่สะอาด และการสร้างผลเชิงบวกให้กับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการสนับสนุนและขยายโครงการพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ผ่านจุดแข็งของบี.กริม เพาเวอร์ ที่มีความสามารถในการสร้างโอกาสทางธุรกิจ การเป็นพันธมิตรที่ดี ความสามารถในการพัฒนาและบริหารโครงการ การจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับการเติบโต และความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย
บี.กริม เพาเวอร์ ภายใต้การกุมบังเหียนของฮาราลด์ ลิงค์ มิได้วางวิสัยทัศน์ไว้แค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังมุ่งหมายที่จะทำธุรกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาคมโลกอีกด้วย ด้วยวิสัยทัศน์ “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี” (Empowering the World Compassionately)