
สำนักพิมพ์: howto
เขียน: Ulrike Schaede
แปล: นุชนาฎ เนตรประเสริฐศรี
ในวันนี้หากลองกวาดสายตาไปรอบห้องนั่งเล่น หรือเดินสำรวจบ้านของตัวเอง ก็จะพบสินค้า อุปกรณ์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ ตีตราแบรนด์จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นสินค้ายอดนิยมเสียด้วย แม้เมื่อเดินห้าง แบรนด์โทรศัพท์ที่ต่างประโคมโฆษณา ประชันขันแข่งกันเอาเป็นเอาตาย ก็หนีไม่พ้นประเทศต้นทางทั้งสาม
สำหรับคนวัย 40-50 ปีขึ้น คงเกิดคำถาม… แมดอินเจแปนหายไปไหนเสียแล้ว!
ย้อนไปในยุค 1980 หลายคนคงจดจำได้ ในยุคที่โลกยังมีกำแพงการค้า มีกำแพงภาษีเพื่อกีดกันข้าวของจากต่างชาติ ถ้าใครได้โอกาสเที่ยวหัวเมืองปักษ์ใต้ เช่น หาดใหญ่ ก็มักจะถือโอกาสช้อปสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านสักชิ้น ที่มาจากญี่ปุ่นในราคาถูกกว่าที่ขายกลางกรุงเทพฯ อาจเป็นโทรทัศน์สีสักเครื่อง เครื่องเล่นวีดีเทปสักชิ้น สเตอริโอสักชุด หรือสำหรับวัยรุ่นแล้ว “โซนี่วอร์คแมน” คือสุดยอดปรารถนา
แต่โลกในวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“ญี่ปุ่นใหม่ พลิกเกมธุรกิจพิชิตโลก” หนังสือแปลหนา 348 หน้า ในราคา 395 บาท ซึ่งทั้งหนาและทั้งแพง ที่คุณอาจหาซื้อได้ง่ายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป เพราะสำนักพิมพ์จัดให้อยู่ในหมวด ”บริหารธุรกิจ” แถมยังสดใหม่เพราะเพิ่งตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อเมษายน 2566 นี้เอง เรียกว่าอยากอ่านก็ต้องได้อ่านก็ว่าได้
“ญี่ปุ่นใหม่ พลิกเกมธุรกิจพิชิตโลก” กำลังบอกเล่าเรื่องราวที่เขาเรียกรวม ๆ ว่า “ทศวรรษที่สูญหาย” ของสินค้าอุปโภคบริโภค นับตั้งแต่หมดทศวรรษที่ 1980 ว่าได้เกิดอะไรขึ้น และญี่ปุ่นตอนนี้กำลังก้าวไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
หนังสือระบุว่าก่อนทศวรรษที่ 2010 ญี่ปุ่นมีผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีส่วนแบ่งตลาดในระดับโลกเพียงร้อยละ 10 แต่หลังเกิดแผ่นดินไหว สึนามิ และวิกฤตที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะเมื่อมีนาคม 2011 ทั้งโลกก็ตระหนักว่าเพียงร้อยละ 10 ที่ว่านั้น เต็มไปด้วยวัตถุดิบสำคัญที่ต้องใช้ในการผลิตสารพัด เช่น จอแอลซีดี สารกึ่งตัวนำ แบตเตอรี่ รวมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์
เหตุภัยพิบัติดังกล่าวถึงส่งผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อการป้อนวัตถุดิบเหล่านี้ จนทั่วโลกยอมรับในความสำคัญของวัตถุดิบจากญี่ปุ่นว่าเหนือกว่าตัวเลขร้อยละ 10 และโชคดีที่การผลิตทั้งหมดกลับคืนสู่เสถียรภาพได้ภายในสามเดือนเท่านั้น
โมเดลธุรกิจของญี่ปุ่นที่ดำเนินมาตั้งแต่ยุคหลังสงครามกำลังเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะการแข่งขันอย่างรุนแรงกับประเทศอย่างจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้
แค่ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาจากจากจีนประเทศเดียวก็หนักหนาแล้ว ทำให้อุตสาหกรรมญี่ปุ่นต้องยกตัวเองเข้าสู่การสร้างเทคโนโลยีชั้นสูง แต่ก็เป็นตลาดธุรกิจที่ยากจะหาตลาดและยากที่จะขยายตัวเช่นนั้น วัตถุดิบบางชิ้นเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มเล็ก ๆ แต่ก็มีความสำคัญและทำกำไรได้สูง
ด้วยโลกาภิวัตน์นั่นเองที่ทำให้เกิดห่วงโซ่อุปทานระดับโลก จากที่แต่เดิมที่การผลิตสินค้าพึ่งพาแต่ซัพพลายเออร์ท้องถิ่นหรือภายในประเทศ ทว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 เมื่อค่าขนส่งเริ่มถูกลง การทำลายกำแพงการค้า ทำให้การย้ายฐานผลิตไปที่ไหนก็ได้ในโลก
การเดินหน้าจะขายแต่สินค้าอุปโภคบริโภคคือหนทางสู่ความพ่ายแพ้สถานเดียว ญี่ปุ่นจำต้องขยับไปสู่ต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งผลิตและเลียนแบบได้ยาก แม้ว่าโซนี่จะพ่ายแพ้แอปเปิลในเรื่องของไอโฟน แต่ซัพพลายเออร์ของญี่ปุ่นกลับยึดครองไส้ในของไอโฟนเอาไว้ได้
ในปัจจุบันป้าย “เมดอินเจแปน” อาจจะหายไปเพราะกลายเป็นยุค “สอดไส้ญี่ปุ่น” ซึ่งดำเนินธุรกิจกันในแบบ B2B เป็นหลักไปเสียแล้ว
แน่นอนว่าการถอนตัวเองออกจากห้องนั่งเล่นภายในบ้านของคนทั่วโลก ย่อมต้องตามมาด้วยการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรของญี่ปุ่นเอง ซึ่งจากการสำรวจก็พบว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้า ค่อยเป็นค่อยไป มิได้หักหาญในทันที เพราะเกิดการปะทะกันระหว่างสายปฏิรูปกับสายล้าหลังในองค์กรนั่นเอง ซึ่งมีให้ท่านใช้สมองละเลียดได้อย่างเต็มที่ตามบทต่าง ๆ ที่มี 10 บทในเล่มนี้
“ญี่ปุ่นใหม่ พลิกเกมธุรกิจพิชิตโลก” จึงเป็นหนังสือที่บอกกล่าวความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและสังคมญี่ปุ่นอย่างจริงจังและขึงขังเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นหนังสือวิชาการ ไม่เหมาะแก่ผู้อ่านที่จะใช้อ่านแกล้มกาแฟหอมกรุ่นในวันหยุดเพื่อพักผ่อนสมอง
แต่สำหรับนักศึกษาหรือนักวิชาการที่สนใจธุรกิจหรือเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ เชิญพลิกหน้าแรกโดยพลัน.