
เล่า: ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เขียน: ชัชวนันท์ สันธิเดช
กว่าจะมี ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวราการ “วีไอหมายเลขหนึ่ง” ในวันนี้ ก็ต้องมี ด.ช.เหงียน แซ่หว่อง “เด็กวันดอน” ในเมื่อวาน ชีวิตของนิเวศน์ก็เป็นเช่นชีวิตสามัญชนทั่วไปที่ย่อมมีอดีต อดีตอันหล่อหลอมปัจจุบัน ปัจจุบันส่องแสงไปยังอนาคต
หนังสือชีวประวัติของ ดร.นิเวศน์เล่มนี้ แบ่งเนื้อหาใหญ่เป็นสองภาค ภาคแรก “นักสู้” ว่ากันตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็ก “ลูกเจ๊กชายขอบ” ในฐานะคนไทยเชื้อสายจีนที่เกิดและเติบโตในประเทศไทยเป็นรุ่นแรก แถมยังเกิดในสลัม มีพ่อแม่เป็นจีนอพยพหากินโดยใช้แรงงานก่อสร้าง รวมทั้งโอกาสต่าง ๆ ในชีวิตโดยเฉพาะด้านการศึกษาจนกระทั่งก้าวเข้าสู่แวดวงธุรกิจการเงินของประเทศนี้ และภาคหลัง “นักเลือก” ว่ากันตั้งแต่วัย 44 ปี อันเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตนักลงทุนที่เรียกกันอย่างลำลองว่า “วีไอ” หรือนักลงทุนเน้นมูลค่า จวบจนวันนี้ที่ได้กลายเป็นนักลงทุนในระดับ “มหาเศรษฐี” ของประเทศไทยคนหนึ่ง
ในหนังสือเล่มนี้ ดร.นิเวศน์ตอกย้ำอย่างหนักแน่นว่า “วีไอ” มิใช่ความรู้เฉพาะทาง หรือทักษะทางวิชาชีพ เพื่อนำไปใช้ทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง แต่วีไอคือวิถีชีวิต การลงทุนจนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีเช่นเขานั้น คือการเอาชีวิตของตัวเองไปแลกมา ดังเช่นที่ระบุว่า “ระยะเวลาในการลงทุน” คือแก้วดวงที่สามของการลงทุนแบบเน้นมูลค่า ตัวเขาก็ต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติและดูแลสุขภาพอาหารการกิน รวมทั้งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดระยะเวลาการลงทุนให้ยืนยาวมากที่สุด เป็นต้น
แต่สังเกตบ้างไหมว่า แม้ตัวท่านจะร่ำรวยถือพอร์ตลงทุนขนาดตัวเลขเป็น 10 หลัก ท่านก็ยังคงเป็น “ดอกเตอร์” อยู่นั่นเอง มิได้ถูกอัพเกรดเรียกขานกันว่าเป็น “เจ้าสัว” แบบมหาเศรษฐีไทยเชื้อสายจีนคนอื่น ๆ แต่อย่างใด
ท่านอาจจะแตกต่างจากคนไทยเชื้อสายจีนรุ่นก่อนหน้า ที่ลงแรงเริ่มประกอบกิจการ หรือทำธุรกิจมากมาย ไม่ว่าห้างสรรพสินค้า นำเข้า-ส่งออก หรือธนาคาร ฯลฯ จนกลายเป็น “นักธุรกิจ” ในระดับ “เจ้าสัว” ผู้มากบารมี มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่สำหรับนั้นเส้นทาง “นักลงทุน” ของ ดร.นิเวศน์นั้น ช่วยย้ำชัดว่าเขายังคงเป็นสามัญชนคนสามัญ มิได้มี “หัวโขน” หรือไม่มีตำแหน่งใด ๆ อันเป็นจริตใหญ่ ที่สังคมไทยให้การสรรเสริญยกย่อง
ด้วยชีวิตของเขาเองจึงเข้าใจดีว่าแกนหลักของสังคมไทยนั่นคือระบบ “ชนชั้น” และพร้อมวิพากษ์สิ่งนี้ไว้ในหนังสือเล่มนี้:
“คนชอบไปบอกกันว่า คนจนทำไมไม่ทำนู้นทำนี่ ทำไมไม่ขยัน ทำไมไม่เรียน คุณไม่เคยอยู่ใน Position (ที่ยืน) ของเขา คุณไม่รู้หรอก คุณไม่รู้ว่าชีวิตเขาอะไรทันทำได้ ทำไม่ได้” นิเวศน์เล่า
“พ่อรวยสอนลูก…ไม่มีหรอก”
ถ้อยคำของนิเวศน์ชวนให้ตั้งคำถามว่า เรื่องเล่าที่ได้ยินกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกว่า ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความกรุณา ให้โอกาสคนทุกคนอย่างเท่าเทียมไม่เลือกชั้นวรรณะ
คนต่างด้าวที่อพยพ “หนีร้อนมาพึ่งเย็น” บนแผ่นดินนี้ไม่มีทางอดตาย
… … …
“เรามองจากอีกด้านหนึ่ง เรารู้เลยว่าไม่ใช่หรอก ที่มาถึงแล้วก็ขยันขันแข็งจนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี มันไม่ง่ายขนาดนั้น ต่อให้คุณเก่งยังไง” เขาย้ำชัด
“คุณไม่มาอยู่อย่างผม คุณไม่มีวันรู้” (น.36-39)
เมื่อตระหนักในความจริงเรื่องชนชั้น บางคนเลือกสู้ แต่ ดร.นิเวศน์เลือกที่จะยอมรับมัน และพยายามทำตัวให้ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว โดยใช้โอกาสทางการศึกษาเกาะกลุ่มพวกชนชั้น “อีลีต” ในสังคมไทย จ จึงไม่แปลกที่ ดร.นิเวศน์ซึ่งใช้ชีวิตวัยรุ่นผ่านช่วงกระแสประชาธิปไตยเชี่ยวกราก จนคนรุ่นหลังมักเรียกกันว่า “ยุคเดือนตุลา” กล้าประกาศว่าตัวเองว่าเขาเป็นฝ่าย “ขวา”
ทว่าหลังจากเป็นวีไอ เริ่มใฝ่หาความรู้อ่านหนังสือ ทำให้เปลี่ยนจาก “อนุรักษ์นิยม” มาเป็น “เสรีนิยม”
เขาผู้คุ้นเคยกลับโครงสร้างสังคมอันเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำนับแต่เกิด ประกาศไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า “สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว”
“ถ้าอาจารย์เสียชีวิตไป อาจารย์อยากให้คนจดจำอาจารย์ยังไง”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง และเลือกที่จะตอบกลับด้วยคำถามเช่นกัน
“คุณรู้จักมาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ไหม” (น.306)