ประวัติศาสตร์กว่าหลายพันปี พีระมิดอันยิ่งใหญ่ ฟาโรห์ มัมมี่และชีวิตหลังความตาย แม่น้ำไนล์ หรือแม้แต่คำสาปปริศนาที่ถูกเล่าขานมายาวนาน ล้วนแล้วแต่เป็นความลี้ลับและมนต์เสน่ห์ที่ทำให้คนจำนวนมาก ล้วนอยากไปสัมผัสดินแดนแห่งนี้สักครั้งในชีวิต
ปลายเพฤศจิกายนไม่กี่เดือนก่อนโควิดจะระบาดไปทั่วโลก ฉันและผองเพื่อนบินลัดฟ้าสู่เมืองไคโร อากาศยามค่ำคืนในเดือนก่อนสุดท้ายของปีค่อนข้างเย็น จากสนามบินไคโรใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็มาถึงโรงแรมที่กีซ่า ที่พักส่วนใหญ่ของที่นี่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ พีระมิด และมี Roof top ที่เป็นห้องอาหารให้เราสามารถสบตากับพีระมิดได้แบบพาโนรามาวิว ซึ่งเช้าวันต่อมาที่เมื่อขึ้นไปรับประทานอาหารเช้าบนนั้น ทันทีที่ภาพปรากฏตรงหน้า ก็ต้องร้องว้าวกับวิวที่มองเห็น เพราะมหาพีระมิดขนาดใหญ่แห่งกีซ่าและรูปแกะสลัก สฟิงซ์ ตั้งตระหง่านตรงหน้าเราราวกับอยู่ในความฝัน

บรรยากาศมหาพีระมิดกีซ่ายามค่ำ

วิวจากห้องอาหารโรงแรม
มหาพีระมิดแห่งเมืองกีซ่ามีอายุมากกว่า 5,000 ปี ทั้งขนาดเล็กใหญ่และความสมบูรณ์ที่ต่างกันไปตามกาลเวลา ประกอบไปด้วยพีระมิดแห่งคูฟู (Khufu), คาเฟร (Khafre) และเมนคูเร (Menkaure) ด้านในของพีระมิดที่เป็นสุสานสามารถซื้อบัตรเข้าไปชมด้านในได้ เราแค่เดินชมอยู่ด้านนอกก็รู้สึกทึ่งกับความยิ่งใหญ่สมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแล้ว

มหาพีระมิดแห่งกีซ่า

พีระมิดและสฟริงซ์

สฟริงซ์
จากนั้นเราก็ไปยังจุดที่สามารถมองเห็นหมู่พีระมิดได้ครบ ซึ่งจุดนั้นจะมีบริการขี่อูฐที่พาไปชมหมู่พีระมิดได้ใกล้ขึ้น แนะนำให้ใช้สกิลการต่อรองและคุยกันให้เข้าใจว่าราคาที่ตกลงกันเป็นทั้งค่าขึ้นอุฐและลงอูฐอย่างแน่นอนแล้วแล้ว เรามีไกด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นคนไทยที่อยู่ในอียิปต์ช่วยสื่อสารให้ ได้มาในราคาคนละ 250 ปอนด์อียิปต์ เลยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อและเสียเงินกับเหตุการณ์นี้เหมือนคนอื่นที่เคยโดนมา โดยหลักการขึ้นอูฐก็คือ เมื่อปีนขึ้นไปนั่งบนหลังอูฐแล้ว ตอนอูฐจะลุกขึ้นให้เราเอนตัวไปด้านหลัง เพื่อหน้าเราจะได้ไม่คะมำเวลาอูฐลุกขึ้นยืน แม้จะใช้เวลานั่งไปและกลับไม่นาน แต่ก็ทำเอาก้นระบมไม่น้อย

ขี่อูฐชมพีระมิด
จากมหาพีระมิดกีซ่า เราไปต่อกันที่ พีระมิดแห่งเมืองซัคคารา ซึ่งเป็นพีระมิดขั้นบันได (Step Pyramid) และตามประวัติศาสตร์มีหลักฐานว่าเป็นพีระมิดแรก ๆ ของอียิปต์ โดยรอบ ๆ มีวิหารและสุสานที่สามารถเข้าไปดูด้านในได้ บางแห่งก็ต้องไต่บันไดลาดชันและต้องเดินย่อยุบตัวเพื่อลงไปด้านใน ซึ่งบนผนังหินเต็มไปด้วยภาพแกะสลักบอกเล่าเรื่องราวในอดีตเมื่อหลายพันปีที่ผ่านมา ที่หลายภาพยังคงคมชัดอย่างไม่น่าเชื่อ

พีระมิดแห่งซัคคารา

ภาพแกะสลักในวิหารเมืองซัคคารา
ระหว่างทางกลับมากีซ่าเราแวะกันที่ พิพิธภัณฑ์รามเสสที่ 2 แห่งเมืองเมมฟิส เมืองหลวงเก่าของอียิปต์ ซึ่งมีรูปสลักหินขนาดใหญ่ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ฟาโรห์องค์สำคัญที่สามารถรวมอียิปต์บนและล่างเข้าด้วยกัน และตั้งเมืองหลวงแห่งแรกขึ้นที่เมืองเมมฟิสแห่งนี้ โดยบริเวณรอบๆ ถูกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งซึ่งมีรูปสลักหินอีกมากมายที่น่าสนใจ


พิพิธภัณฑ์รามเสสที่ 2 แห่งเมืองเมมฟิส
จากนั้นเราต้องรีบไปสถานีรถไฟกีซ่า เพื่อนั่งรถไฟนอนลงใต้ไปยังเมืองอัสวาน รถไฟนอนอียิปต์ค่อนข้างดีเลยทีเดียว หนึ่งห้องมี 2 เตียง พร้อมอาหารค่ำและอาหารเช้าที่ให้เราเลือกออนไลน์มาก่อนตอนจองตั๋วรถไฟว่าจะเอาไก่ ปลา หรือเนื้อ ในห้องมีอ่างล้างหน้าสำหรับล้างหน้าแปรงฟัน ส่วนห้องน้ำอยู่ด้านท้ายโบกี้นอน ซึ่งให้ไปรีบเข้าเสียแต่เนิ่น ๆ เพราะเช้ามาสภาพจะเปลี่ยนไปจนเราขยาดที่จะเข้าไปทำธุระ
การนอนบนรถไฟไม่ได้แย่ แม้จะมีเสียงดังรบกวนบ้าง แต่ก็ยังได้นอนราบ ยืดแขนเยียดขาให้ไม่เมื่อยได้ดีทีเดียว อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเมื่อรถไฟวิ่งลงใต้ ตามตารางเราจะต้องไปถึงที่อัสวานเช้าตรู่ แต่ปรากฏว่ารถไฟก็ดีเลห์ไปเกือบ 3 ชั่วโมง เพราะรถไฟมาเลทตั้งแต่ตอนออกจากกีซ่าแล้ว กว่าจะถึงอัสวานก็10 โมงกว่า ทำให้เมื่อไปถึงเราต้องต่อรถไปยังจุดหมายแรกของวันทันทีตามที่นัดหมายรถให้มารับที่สถานีรถไฟ
จุดหมายแรกของเราที่อัสวานก็คือ มหาวิหารกลางน้ำฟิเลห์ (Philae Temple หรือ Temple of Isis) ซึ่งเป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพีไอซิส โดยวิหารแห่งนี้ถูกย้ายมาสร้างใหม่บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งแทน เพราะหากยังอยู่ที่เดิมก็จะจมอยู่ใต้น้ำหลังจากการสร้างเขื่อนอัสวานได้ โดยใช้เวลาถึง 7 ปีในการย้ายมาสร้างใหม่


มหาวิหารกลางน้ำฟิเลห์

ริมแม่น้ำไนล์ เมืองอัสวาน
หลังจากเช็กอินเข้าที่พักไม่นาน เราก็ออกมาล่องเรือรับลมเย็นๆ ชมบรรยากาศริมสองฝั่งแม่น้ำไนล์ ซึ่งก็มีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และเรือขนาดใหญ่สำหรับทริปท่องเที่ยวแม่น้ำไนล์
แม่น้ำไนล์ (Nile river) เป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในโลกและไหลจากทางใต้ขึ้นไปทางเหนือ โดยในอดีตที่อียิปต์ถูกแบ่งเป็นอียิปต์บนและอียิปต์ล่าง ต้นของแม่น้ำไนล์ที่อยู่ทางใต้จะเรียกว่าอียิปต์บน และปลายทางของแม่น้ำไนล์ที่ไหลไปทางเหนือออกสู่ปากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เมืองอเล็กซานเดรียจะเรียกอียิปต์ล่าง โดยชาวอียิปต์เชื่อกันว่า แม่น้ำไนล์คือของขวัญจากพระเจ้าที่ประทานให้กับชาวอียิปต์
เรือที่เรานั่งล่องแม่น้ำไนล์เรียกว่า เรือเฟลุคกะ (Felucca) เป็นเรือใบดัดแปลงมาจากเรือโบราณของอียิปต์ที่มีขนาดไม่ใหญ่ แต่มีเสน่ห์และเข้ากับบรรยากาศการล่องแม่น้ำไนล์ ชมแสงยามบ่ายไล่ไปจนแสงสีทองยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

บรรยากาศล่องเรือแม่น้ำไนล์

เรือเฟลลุคกะ
วันต่อมาเราต้องออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้ามืดเดินทางด้วยมินิบัสระยะทางกว่า 4 ชั่วโมงเพื่อไปชม มหาวิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel Temples) ระหว่างทางไม่มีบ้านคน ไร้สัญญาณอินเตอร์เน็ต มีแต่ทะเลทรายอันเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา และค่ายทหารเป็นระยะ ๆ เพราะใกล้เขตชายแดนติดกับประเทศซูดาน มีเพียงร้านค้าเล็กๆ ระหว่างทางให้แวะยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำ เล่นกับแมว แล้วเดินทางต่อ
ความยิ่งใหญ่ของมหาวิหารอาบูซิมเบล สร้างขึ้นในสมัยฟาโรห์รามเสสที่ 2 ในช่วง 1224 ปีก่อนคริสตกาล โดยใช้เวลาก่อสร้างถึง 20 ปี ประกอบด้วยภูเขาหินสองลูกใหญ่ ที่มีรูปแกะสลักหินฟาโรห์ 4 องค์ ที่พระบาทแกะสลักเป็นรูปพระมารดา พระโอรสธิดาอีก 8 พระองค์ ในช่วงทศวรรษที่ 1960 มหาวิหารถูกเคลื่อนย้ายเพื่อหลีกหนีการถูกน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนอัสวาน ซึ่งถือเป็นผลงานใหญ่ระดับโลกทางวิศวกรรมจากฝีมือของวิศวกรจากสวิสเซอร์แลนด์ที่โลกต้องจากรึกไว้ เพราะเมื่อเราได้ไปเห็นของจริงของมหาวิหารที่ถูกเคลื่อนย้ายมาจากการตัดหินทีละก้อนและนำมาประกอบใหม่อย่างไร้ร่องรอย คำว่ามหัศจรรย์ยังอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ


มหาวิหารอาบูซิมเบล


ภายในมหาวิหารอาบูซิมเบล

หุบผาราชินีฮัซเซปซุส
กลับจากอาบูซิมเบลเราขึ้นรถไฟย้อนกลับไปที่เมืองลักซอร์เพื่อวันรุ่งขึ้นเราจะเยือน หุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) และหุบเขาราชินี (Valley of the Queens)
ที่เมืองลักซอร์จะถูกแบ่งเป็นสองฝั่งโดยแม่น้ำไนล์ ฝั่งขวาเขียวขจีไปด้วยต้นไม้และบ้านเรือน ส่วนฝั่งซ้ายซึ่งเป็นภูเขาดินเป็นที่ตั้งของสุสานของฟาโรห์ที่ปัจจุบันก็ยังมีการขุดค้นกันอยู่อีกหลายแห่ง
ตั๋วที่เราได้มาหลายใบจะมีระบุไว้ว่าแต่ละใบสามารถเข้าชมสุสานใดได้บ้าง โดยบริเวณอาคารจำหน่ายบัตรจะมีรูปจำลอง 3 มิติให้ดูว่า บริเวณหุบผากษัตริย์แห่งนี้มีสุสานกระจายตัวอยู่ใต้ผืนดินอย่างไร

ทางลงสุสานหนึ่งที่ลักซอร์

ภาพแกะสลักทางลงสุสานที่ลักซอร์

ภายในสุสานตุตันคาเมน
ทางเดินสุสานลงมีทั้งบันไดไม้ลงไปเป็นระดับ บางสุสานก็เป็นทางลาดยาวลึกลงไปใต้ผืนดิน ภายในสุสานมีเพียงโลงหินเปล่าที่ไร้ร่างมัมมี่ของฟาโรห์ แต่มีเพียงสุสานแห่งเดียว คือ สุสานของตุตันคาเมน ฟาโรห์ที่ขึ้นครองราชย์เมื่ออายุ 8 ชันษา และสวรรคตตอนอายุแค่ 18 ชันษา ด้วยระยะเวลาในการครองราชย์ไม่นาน จึงทำให้สุสานมีขนาดเล็ก แต่ก็เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมหาศาลหลายพันชิ้น โดยสุสานนี้ถูกค้นพบโดยโฮวาร์ด คาร์เตอร์ (Howard Cater) นักโบราณคดีและนักอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษ ที่มีลอร์ดคาร์นาร์วอน (Lord Carnarvon) เศรษฐีชาวอังกฤษเป็นผู้สนับสนุน โดยโครงการนี้ได้เริ่มต้นในปี 1918 และประสบความสำเร็จเปิดสุสานได้ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1923
แต่หลังจากการค้นพบได้เพียง 6 สัปดาห์ ลอร์ดคาร์นาร์วอนก็เสียชีวิตอย่างกระทันหันในเดือนเมษายนปี1923 จากอาการเลือดเป็นพิษ จากนั้นก็ตามมาด้วยคณะสำรวจของคาร์เตอร์ที่ค่อยๆ ทยอยกันเสียชีวิตรวมกันถึง 22 คน ทำให้ผู้คนต่างลือกันว่า การเสียชีวิตของคาร์นาร์วอนและทีมสำรวจนั้น เกิดขึ้นจาก “คำสาปฟาโรห์” ของสุสานตุตันคาเมน ซึ่งเล่าขานสืบต่อกันมาว่า มีข้อความที่นักบวชในสมัยโบราณจารึกไว้ภายในสุสาน แปลความหมายได้ว่า “มรณะจักโบยบินมาสังหารผู้บังอาจรบกวนสันติสุขแห่งองค์ฟาโรห์” แต่ก็แปลกที่ว่า ตัวของคาเตอร์เองซึ่งเป็นตัวหลักสำคัญในการขุดค้นสุสานกลับไม่มีอันเป็นไปอะไร และเขาเสียชีวิตตอนอายุ 64 ปี หลังจากการเปิดสุสานถึง 20 ปี
แต่กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าความตายที่เกิดขึ้นนั้นจะเกี่ยวข้องกับคำสาปฟาโรห์หรือไม่ แต่ในสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ยังคงมีร่างมัมมี่ของพระองค์ประทับอยู่ในโลงแก้วใส ให้เราได้เข้าไปชม แต่ไม่ใช่การไปเยือนด้วยความกลัว หากแต่เป็นความทึ่งในความสวยงามและอลังการของสุสาน โดยเฉพาะภาพแกะสลักบนกำแพง ที่หลายที่ภาพยังคมชัดและสีสันยังสดสวยเหมือนเพิ่งผ่านการก่อสร้างมาไม่นาน ทั้งที่จริง ๆ แล้วผ่านกาลเวลามาแล้วหลายพันปี




ภายในสุสานแห่งหนึ่งที่ลักซอร์

ภาพแกะสลักภายในสุสานที่ลักซอร์
ที่เมืองลักซอร์นอกจากสุสานที่หุบผากษัตริย์และหุบผาราชินีที่ต้องไปชมแล้ว ยังมี วิหารคาร์นัค (Karnak) ซึ่งเป็นมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดในอียิปต์ สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอะมอนรา (Amon-Re) หรือ สุริยะเทพ โดยมีรูปปั้นสฟิงซ์หัวแกะ หมอบนั่งเฝ้าอยู่ด้านหน้าวิหารเรียงรายจนเข้าไปถึงด้านในเป็นจุดเด่นที่นี่

วิหารคาร์นัค
และวิหารอีกแห่งที่ต้องไปเยือนคือ วิหารลักซอร์ (Luxor Temple) สร้างโดยฟาโรห์อาเมนโอเทปที่ 3 คาดกันว่าวิหารแห่งนี้เป็นพระราชวังมากกว่าศาสนสถาน เนื่องจากมีรูปสลักการทำศึกสงครามประดับอยู่ภายใน ได้รับการบูรณะจากองค์ฟาโรห์หลายพระองค์ โดยเฉพาะจากฟาโรห์รามเสสที่ 2 จุดเด่นสำคัญสำคัญของ วิหารลักซอร์แห่งนี้คือ เสาโอเบลิสก์ (Obelisk) ที่ชาวอียิปต์เชื่อว่าเป็นตัวแทนของ ชีวิต แสงสว่าง และความรุ่งโรจน์ โดยนิยมตั้งเป็นคู่ แต่ปัจจุบันเสาโอเบลิสก์เหลือเพียงต้นเดียว เพราะอีกต้นได้ถูกขนย้ายเป็นของขวัญแก่ประเทศฝรั่งเศสในสมัยของ Mohamed Ali Dasha เมื่อปี 1831 ซึ่งที่นี่ก็มีความยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้วิหารคาร์นัคเช่นกัน


วิหารลักซอร์
จากลักซอร์เราโดยสารรถไฟนอนย้อนกลับมาที่ไคโร เป็นวันสุดท้ายของเราที่อียิปต์ โดยวันนี้เราจะไปเยือนพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอียิปต์ ซึ่งในปีที่ไปนั้นยังพิพิธภัณฑ์แห่งเดิม
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอียิปต์ เป็นสถานที่เก็บวัตถุโบราณและของล้ำค่ามากมายของอียิปต์ โดยรวบรวมไว้หลากหลายยุคสมัยด้วยกัน มีจำนวนกว่า 120,000 รายการ ทั้งมัมมี่ของฟาโรห์ โรงหิน โรงทองคำ หน้ากากทองคำ เครื่องประดับ ทรัพย์สินเงินทอง ที่จัดแสดงให้ชมจนจุใจ เหมือนหลุดเข้าไปในประวัติศาสตร์ของอียิปต์ บางโซนเดินดูไปก็แอบขนลุกไปด้วย เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ที่แห่งนี้คือของจริงของเดิมที่มาจากสุสาน





ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอียิปต์
จบจากพิพิธภัณฑ์ไคโรส่งท้ายการเดินทางด้วยการไปเดินชม ตลาดข่าน เอล คาลิลี (Khan Al-Khalili) เป็นตลาดขนาดใหญ่สไตล์อาหรับโบราณ อายุกว่า 600 ปี ที่มีสินค้ามากมายทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้า เครื่องประดับ และของที่ระลึกต่างๆ ซึ่งความสนุกของการซื้อสินค้าที่นี่ก็คือ การต่อรองราคา ซึ่งแน่นอนว่าเปิดมาด้วยราคาแพงมหาโหด แต่การต่อรองให้ได้ราคาลดลงมาครึ่งต่อครึ่งหรือมากกว่านั้นเป็นความสนุกของการจับจ่าย และถือเป็นการส่งท้ายทริปอียิปต์ของเราอย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว



ตลาดข่าน เอล คาลิลี

แผงขายผลไม้ริมทาง

อาหารอียิปต์

11 เรื่องต้องรู้ก่อนไปอียิปต์
1. อียิปต์ต้องทำวีซ่า ธรรมเนียมวีซ่า ท่องเที่ยว/ธุรกิจ 1,500 บาท (Single) / 2,200 บาท (Double) / 4,400 บาท (Multiple) ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับทางสถานทูต ผู้เดินทางสามารถให้ตัวแทนยื่นขอวีซ่าแทนได้และขั้นตอนค่อนข้างเวิ่นเว้อ ให้เตรียมตัวเตรียมใจในการขอไว้ให้ดี
2. เวลาอียิปต์ช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง
3. สกุลเงินอียิปต์คือ อียิปต์ปอนด์ อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ ประมาณ 1.20 บาท = 1 อียิปต์ปอนด์
4. ซื้อซิมโทรศัพท์และแลกเงินได้ที่สนามบิน ก่อนออกจากอาคารขาเข้าที่เคาน์เตอร์อยู่
5. ทุกหน่วยบริการ รถ ลา ม้า อูฐ คนขับ คนจูง คนเสิร์ฟ คนโชว์ ล้วนต้องการทิปทั้งสิ้น แตกเงินแบงก์ย่อยไว้จ่ายทิปด้วย
6. คนอียิปต์กินขนมปังเยอะ ในมื้อที่เสิร์ฟมาอย่างในอาหารกล่องของโรงแรมหรือบนรถไฟ จะให้ขนมปังมา 3-4 ก้อนที่เหนียวและค่อนข้างจืด ยังดีที่มีแยม เนย ชีส น้ำผึ้งมาให้ด้วย
7. อาหารที่ทำจากเนื้อวัวค่อนข้างถูกปาก อย่างเนื้อตุ๋น เนื้อย่าง คือดี ใครชอบกินเนื้อวัวที่อียิปต์ คือสวรรค์อีกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
8. เวลาซื้อของให้ต่อราคาลงมาเกินกว่า 70-80% ต่อแบบคนขายไม่น่าลดให้ แต่ถ้าลดก็เอา ซึ่งโดยมากจะได้ ถ้าไม่ได้ราคาในใจให้เดินออก คนขายจะลดราคาให้เราเอง
9. การเดินทางในไคโรในกรณีที่ไปหลายคนให้เรียกอูเบอร์แล้วจ่ายผ่านบัตรจะสะดวกและถูก จะทิปให้คนขับหรือไม่ทิปก็แล้วแต่ความพอใจในบริการ
10. ไคโรรถติดและฝุ่นเยอะ ขนาดในโรงแรม บนพื้นห้องยังมีฝุ่นผงทราย เพราะฉะนั้นให้เผื่อเวลาในการเดินทางและหาผ้าปิดปากด้วย
11. การถ่ายภาพตามสถานที่ต่างๆ โดยมากใช้กล้องถ่ายรูปจะต้องจ่ายเพิ่ม แต่ใช้กล้องมือถือจะไม่เสียเงิน